Scroll to top

ก.ล.ต. นับหนึ่งไฟลิ่ง "บมจ.เอคอมเมิร์ซ กรุ๊ป" หรือ ACOM ชูจุดเด่นผู้นำการให้บริการขับเคลื่อนอีคอมเมิร์ซอย่างครบวงจรรายใหญ่ที่สุดในอาเซียน รุกขยายธุรกิจและเพิ่มฐานลูกค้าในระดับภูมิภาค

20 Apr 2022

“บมจ.เอคอมเมิร์ซ กรุ๊ป” หรือ ACOM ชูจุดเด่นผู้นําการให้บริการขับเคลื่อนอีคอมเมิร์ซอย่างครบวงจรรายใหญ่ที่สุดในภูมิภาคอาเซียน ด้วยประสบการณ์และความพร้อมของแพลตฟอร์มเทคโนโลยีในการสนับสนุนแบรนด์สินค้าต่างๆ ให้สามารถพัฒนาการ ขายสินค้าบนแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดย ณ สิ้นปี 2564 มีฐานลูกค้าแบรนด์ไทยและแบรนด์ชั้นนําระดับโลกรวม กว่า 168 ราย เพิ่มขึ้นมากถึง 50 รายจากปีก่อนหน้า และมียอดขายสินค้าที่บริหารจัดการแบบครบวงจรเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง พร้อม วางกลยุทธ์รุกขยายธุรกิจในระดับภูมิภาค ผนึก DKSH บุกตลาดเวียดนามหลังเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ โดยล่าสุดสํานักงาน ก.ล.ต.นับหนึ่งไฟลิ่งแล้ว เมื่อวันที่ 20 เมษายน 2565

นายวีระพงษ์ (พอล) ศรีวรกุล ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO) บริษัท เอคอมเมิร์ซ กรุ๊ป จํากัด (มหาชน) (บริษัทฯ) หรือ ACOM เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้มุ่งขยายธุรกิจเพื่อสร้างการเติบโตในระดับภูมิภาค โดยใช้ประสบการณ์และความเชี่ยวชาญ ด้านการบริหารจัดการธุรกิจอีคอมเมิร์ซอย่างครบวงจรให้แก่แบรนด์สินค้าชั้นนําระดับโลกเกือบ 10 ปี โดยเป็นผู้นําในการให้บริการสนับสนุน ธุรกิจอีคอมเมิร์ซ (E - Commerce Enabler) อย่างครบวงจรรายใหญ่ที่สุดในภูมิภาคอาเซียน เมื่อพิจารณาจากเกณฑ์ยอดขายสินค้ารวม (Gross Merchandise Value หรือ GMV) โดยมีมูลค่าเป็น 1.8 เท่าเทียบกับคู่แข่งที่ใกล้เคียงที่สุดและมีส่วนแบ่งทางการตลาดที่ร้อยละ 16.5 ในปี 2563

ปัจจุบันบริษัทฯ ให้บริการใน 5 ประเทศ ได้แก่ ไทย อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ และสิงคโปร์ โดยนําเสนอบริการอย่างครบ วงจรเพื่อสนับสนุนแบรนด์สินค้าต่างๆ ในการพัฒนาการจําหน่ายสินค้าบนแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซผ่านช่องทางที่หลากหลาย ทั้งเว็บสโตร์ มาร์เก็ตเพลส และโซเชียลมีเดียได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด โดยมีบริการออกแบบและพัฒนาร้านค้าออนไลน์ (webstore Development) บริหารร้านค้าให้กับแบรนด์ต่างๆ (Brand Store Operations) ให้คําปรึกษาด้านกลยุทธ์ (E-commerce Strategy Consulting) ให้บริการ คลังสินค้าครบวงจร (Warehousing and Fulfument) รับชําระเงินและจัดส่งสินค้า (Payment and Delivery) วิเคราะห์และให้ข้อมูล เชิงลึก (Data Analytics and Insights) เพื่อกําหนดหรือปรับกลยุทธ์ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ รวมถึงมีศูนย์บริการและดูแลลูกค้า (Customer Care Solutions) เพื่อช่วยเหลือแบรนด์ต่างๆ ในการสื่อสารกับลูกค้าอีกด้วย

ทั้งนี้ บริษัทฯ ใช้เงินลงทุนแล้วกว่า 800 ล้านบาท เพื่อพัฒนาแพลตฟอร์มเทคโนโลยีที่ทันสมัย ทั้งในส่วนของแพลตฟอร์มเทคโนโลยี “EcommercelQ” ซึ่งใช้ในการบริหารจัดการการขายสินค้าบนแพลตฟอร์มต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยบริษัทฯ ได้เชื่อมต่อ แพลตฟอร์มเข้ากับซอฟต์แวร์ช่องทางการเชื่อมต่อ (Application Programming Interfaces หรือ APIs) กว่า 300 รายการ ไปยังผู้ให้บริการ ต่างๆ ในธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอีคอมเมิร์ซ ยกตัวอย่างเช่น แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ช ผู้ให้บริการโลจิสติกส์ Payment Gateway และ Warehouse Management System หรือ WMS เป็นต้น ส่งผลให้บริษัทฯ สามารถจัดการกับธุรกรรมที่มีความซับซ้อนและสามารถรองรับ คําสั่งซื้อได้มากกว่า 330,000 ออเดอร์ต่อวัน นอกจากนั้น บริษัทฯ ยังได้พัฒนาผลิตภัณฑ์ซอฟแวร์ “EcommerceIQ Market Insights” ใน รูปแบบ Software as a Service หรือ SaaS ซึ่งปัจจุบันให้บริการวิเคราะห์ข้อมูลขั้นสูงให้แก่แบรนด์สินค้า เพื่อให้สามารถเข้าใจพฤติกรรม ของผู้บริโภคและคู่แข่ง ในการกําหนดราคาสินค้าและวางตําแหน่งการตลาดให้กับแบรนด์ได้อย่างถูกต้อง

บริษัทฯมียอดขายสินค้าที่บริหารจัดการแบบครบวงจรเติบโตอย่างแข็งแกร่ง คิดเป็นอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปี (CAGR) ร้อยละ 52 จากปี 2562 ถึงปี 2564 ซึ่งเป็นผลมาจากยอดขายที่เพิ่มขึ้นของผู้ใช้บริการอีคอมเมิร์ชครบวงจรรายเดิมและการได้มาซึ่งผู้ใช้บริการอี คอมเมิร์ชครบวงจรรายใหม่ โดยหากพิจารณายอดขายของผู้ใช้บริการอีคอมเมิร์ซครบวงจรรายเดิมที่เริ่มใช้บริการกับบริษัทฯในปี 2559 ถึงปี 2562 พบว่ามีการเติบโตอย่างต่อเนื่องในช่วงปีสองปีที่ผ่านมาที่อัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปี (CAGR) ระหว่างร้อยละ 35 ถึงร้อยละ 184 แสดง ให้เห็นถึงการประสบความสําเร็จในการสนับสนุนแบรนด์สินค้าต่างๆในการทําธุรกิจอีคอมเมิร์ช นอกจากนี้ ณ สิ้นปี 2564 บริษัทฯมีฐานลูกค้า แบรนด์ไทยและแบรนด์ชั้นนําระดับโลกรวมกว่า 168 ราย สุทธิเพิ่มขึ้นมากถึง 50 รายจากปีก่อนหน้า คิดเป็นร้อยละ 43 ซึ่งช่วยส่งเสริมการ เติบโตอย่างก้าวกระโดดของบริษัทฯอีกด้วย

ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้วางกลยุทธ์ขยายธุรกิจในภูมิภาคอาเซียนและเพิ่มฐานลูกค้าอย่างต่อเนื่อง ได้แก่

  1. มุ่งพัฒนาความสัมพันธ์ในฐานะพันธมิตรกับกลุ่มผู้ใช้บริการอีคอมเมิร์ชครบวงจรระดับโลกของบริษัทฯ เพื่อเพิ่มจํานวนแบรนด์ รายการสินค้า และการให้บริการมากกว่า 1 ประเทศ 
  2. ลงทุนพัฒนาแพลตฟอร์มทางเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่องเพื่อเพิ่มศักยภาพการให้บริการ
  3. ขยายฐานผู้ใช้บริการรายใหม่และกลุ่มสินค้าใหม่ๆ ในธุรกิจอีคอมเมิร์ซ 
  4. มุ่งเน้นพัฒนาผลิตภัณฑ์ EcommercelQ SaaS ทั้งในด้านฟีเจอร์ต่างๆ และเพิ่มความปลอดภัยในการรักษาข้อมูล เพื่อขยายไปสู่ ตลาดที่กว้างขึ้น ตั้งแต่บรรษัทข้ามชาติถึงธุรกิจขนาดกลาง ด้วยต้นทุนส่วนเพิ่มที่น้อยมากเนื่องจากอยู่ในรูปแบบ Software as a Service หรือ SaaS และ 
  5. การเข้าซื้อกิจการที่อาจมีขึ้นในอนาคตเพื่อขยายขอบเขตทางภูมิศาสตร์สู่ตลาดใหม่ เช่น เวียดนาม และขยายธุรกิจที่มีใน มาเลเซีย การเสริมขีดความสามารถทางเทคโนโลยีของบริษัทฯ และ แบรนด์ที่มีการขายเฉพาะในช่องทางออนไลน์ (Private Online Brands) ที่มีศักยภาพในการเติบโตสูงและที่จะช่วยให้บริษัทฯ ได้ประโยชน์จากความสามารถในการจัดจําหน่ายแบบหลากหลายช่องทาง (Omnichannel)

“เรามี DKSH ซึ่งเป็นผู้ให้บริการด้านการขยายตลาดชั้นนําในภูมิภาคเอเชีย เป็นพันธมิตรที่ดีและเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของเราตั้งแต่ ปี 2558 ล่าสุดบริษัทฯ ได้ลงนามในข้อตกลงความร่วมมือเชิงกลยุทธ์กับ DKSH โดยทางบริษัทฯ จะเป็นพาร์ทเนอร์เพียงรายเดียวของ DKSH สําหรับการให้บริการธุรกิจออนไลน์แบบ Business-to-Consumer หรือ B2C ทั้งหมดในประเทศที่ ACOM ดําเนินธุรกิจ โดย DKSH ได้ถ่าย โอนและแนะนําแบรนด์ที่ต้องการขยายธุรกิจออนไลน์แบบ B2C ให้กับ ACOM จึงทําให้ไตรมาสที่ 4/2564 แบรนด์ที่ใช้บริการของเราแบบ ครบวงจรเพิ่มขึ้นจาก 120 แบรนด์ (ในไตรมาสที่ 3/2564) เป็น 168 แบรนด์ ทําให้เรามีโอกาสให้บริการแก่แบรนด์สินค้าใหม่หลายรายจาก DKSH นอกจากนั้น บริษัทฯ ยังวางแผนเร่งขยายธุรกิจไปยังเวียดนามเพื่อสนับสนุน DKSH และลูกค้าของเรา” นายวีระพงษ์ (พอล) กล่าว

นายธนิก ธราวิศิษฐ์ รองผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงาน Investment Banking and capital Markets ธนาคารไทยพาณิชย์ จํากัด (มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน กล่าวว่า หลังจาก บมจ.เอคอมเมิร์ซ กรุ๊ป ได้ยื่นแบบคําขออนุญาตเสนอขายหลักทรัพย์และ แบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์ ต่อสํานักงาน ก.ล.ต. เพื่อขอเสนอขายหุ้นสามัญ จํานวนรวมไม่เกิน 1,599,642,100 หุ้น รวมทั้งหมดคิดเป็นไม่เกินร้อยละ 35.0 ของจํานวนหุ้นสามัญที่ออกและชําระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ ภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญครั้งนี้ ประกอบด้วย 1) หุ้นสามัญเพิ่มทุนที่เสนอขายโดยบริษัทฯ จํานวนไม่เกิน 685,560,900 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 1.00 บาท คิดเป็นไม่ เกินร้อยละ 15.0 ของจํานวนหุ้นสามัญที่ออกและชําระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ ภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญครั้งนี้ และ 2) หุ้นสามัญเดิม ที่เสนอขายโดยเอคอมเมิร์ช กรุ๊ป ลิมิเต็ด จํานวนไม่เกิน 914,081,200 หุ้น คิดเป็นไม่เกินร้อยละ 20.0 ของจํานวนหุ้นสามัญที่ออกและชําระ แล้วทั้งหมดของบริษัทฯ ภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญครั้งนี้ โดยมีวัตถุประสงค์ในการระดมทุนครั้งนี้ เพื่อนําไปใช้สําหรับการลงทุนขยาย ธุรกิจและเข้าซื้อกิจการที่อาจมีขึ้นในอนาคต เพื่อขยายขอบเขตทางภูมิศาสตร์สู่ตลาดใหม่ และขยายขีดความสามารถในการให้ได้มาซึ่ง ผู้ใช้บริการอีคอมเมิร์ชครบวงจร ใช้เป็นเงินทุนพัฒนาแพลตฟอร์ม EcommercelQ และเทคโนโลยีในด้านอื่นๆ รวมถึงพัฒนาผลิตภัณฑ์ EcommercelQ SaaS และเป็นเงินทุนหมุนเวียนโดยทั่วไป ล่าสุดเมื่อวันที่ 20 เมษายน 2565 สํานักงาน ก.ล.ต. ได้นับหนึ่งแบบคําขออนุญาต การเสนอขายหุ้น IPO และแบบแสดงรายการข้อมูลฯ (ไฟลิ่ง) แล้ว